นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างออกจากงานในกรณีใดบ้าง

ปรับปรุงล่าสุด ปรับปรุงล่าสุด25 มกราคม 2021
คะแนน คะแนน 4.5 - 11 คะแนนโหวต

การที่ลูกจ้างออกจากงานไม่ว่าโดยการเลิกจ้างโดยนายจ้างหรือการลาออกโดยตัวลูกจ้างเอง ก็อาจไม่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของผู้เป็นนายจ้างและ/หรือลูกจ้างมากนัก อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่ว่านายจ้างและลูกจ้างต่างให้ความสำคัญเมื่อลูกจ้างออกจากงานไปไม่แพ้ไปกว่าเรื่องอื่นๆ เลย นั้นก็คือ การจ่ายค่าชดเชย โดยนายจ้างอาจมีข้อพิจารณาในด้านต้นทุนการบริหารบุคคล การปฏิบัติและความรับผิดตามกฎหมายแรงงาน ในขณะที่ลูกจ้างอาจมีข้อพิจารณาว่าตนมีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือไม่ และมีสิทธิได้รับเงินชดเชยเท่าใด

ค่าชดเชยคืออะไร

ค่าชดเชย คือ เงินที่นายจ้างตกลงและจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างตามเงื่อนไขและอัตราที่ลูกจ้างและนายจ้างอาจได้มีการกำหนดตกลงร่วมกันในสัญญาจ้างแรงงานหรือตามที่นายจ้างประกาศในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน (ในกรณีที่นายจ้างมีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป) อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ไม่มีการตกลงหรือประกาศเงื่อนไขและอัตราการจ่ายค่าชดเชย หรือในกรณีที่เงื่อนไขและอัตราที่กำหนดกันในสัญญาหรือที่นายจ้างได้ประกาศไว้นั้นเป็นประโยชน์กับลูกจ้างต่ำกว่าเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน นายจ้างจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างน้อย

โดยที่วัตถุประสงค์ของการจ่ายค่าชดเชยนั้น กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างก็เพื่อให้ลูกจ้างซึ่งถูกนายจ้างเลิกจ้างนั้นนำเงินดังกล่าวไปเก็บเอาไว้ใช้ดำรงชีวิตในระหว่างที่ลูกจ้างนั้นไม่มีงานทำหรือไม่มีรายได้จากการทำงาน เช่น ในระหว่างที่ลูกจ้างหางานใหม่หรือในระหว่างบั้นปลายชีวิตของลูกจ้างที่แก่ชราจนไม่สามารถทำงานได้

ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ค่าชดเชย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างทั่วไป คือ เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง และ
  • ค่าชดเชยพิเศษ คือ เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเพราะมีเหตุกรณีพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่ง ค่าชดเชยพิเศษนี้ลูกจ้างมีสิทธิได้ต่างหากอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างทั่วไป หากเป็นไปตามกรณีและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีใดบ้าง

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณี ดังต่อไปนี้

ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างทั่วไป

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างรายดังกล่าว โดยที่ การเลิกจ้าง คือ การที่นายจ้างกระทำการใดๆ ที่ไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ไม่ว่าการไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างนั้นจะเกิดจากสาเหตุและ/หรือความจำเป็นใดซึ่งไม่ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน เช่น

  • นายจ้างไล่ลูกจ้างออก
  • สัญญาจ้างระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสิ้นสุดระยะเวลาการจ้าง สำหรับงานทั่วไป
  • นายจ้างต้องปิดหรือเลิกดำเนินกิจการ
  • ครบกำหนดระยะเวลาการเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกำหนด
  • นายจ้างเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างลูกจ้างคนดังกล่าวอีกต่อไป หรือ
  • สาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ดังจะกล่าวต่อไป)

ในกรณีที่ไม่ได้มีการกำหนดหรือตกลงการเกษียณอายุเอาไว้ หรือมีการกำหนด/ตกลงการเกษียณอายุไว้เกินกว่า 60 ปี ลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปี สามารถขอเกษียณอายุได้ โดยลูกจ้างจะมีสิทธิจะได้รับค่าชดเชยเช่นกัน

ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ ให้แก่ลูกจ้าง หากเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งหมด ดังต่อไปนี้

  • นายจ้างจะย้ายสถานประกอบกิจการไปยังสถานที่อื่น
  • การย้ายสถานประกอบกิจการดังกล่าวมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัวของลูกจ้างคน (เช่น ต้องย้ายบ้าน มีภาระในการเดินทางเพิ่มขึ้น หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสูง) และ
  • ลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงาน ณ สถานประกอบกิจการแห่งใหม่

ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้

นายจ้างต้องจ่าย ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้ ให้แก่ลูกจ้าง หากเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งหมด ดังต่อไปนี้

  • นายจ้างปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิต การจำหน่าย หรือการบริการ
  • การปรับปรุงดังกล่าวเป็นการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี (เช่น นำระบบหุ่นยนต์แขนกลมาใช้แทนแรงงานคนประกอบ)
  • นายจ้างต้องการจะเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากการการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้แทนลูกจ้าง และ
  • ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างนั้นมีอายุการทำงานติดต่อกันเกิน 6 ปีขึ้นไป

ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า

นายจ้างต้องจ่าย ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้แก่ลูกจ้าง หาก

  • นายจ้างไม่ดำเนินการบอกกล่าวล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เช่น 1 คราวการจ่ายค่าจ้างก่อนคราวที่จะเลิกจ้าง) ในกรณีบอกเลิกสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา
  • นายจ้างไม่ดำเนินการปิดประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าตามแบบและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เช่น 30 วันก่อนวันที่ย้ายสถานประกอบกิจการ) ในกรณีที่นายจ้างจะย้ายสถานประกอบกิจการ หรือ
  • นายจ้างไม่ดำเนินการแจ้งให้ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เช่น 60 วันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง) ในกรณีที่นายจ้างนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่าใด

ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างทั่วไป

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าอัตรา ดังต่อไปนี้

อายุงาน อัตราค่าชดเชยขั้นต่ำ
ตั้งแต่ 120 วัน ถึง 1 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 3 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 6 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
ตั้งแต่ 6 ปี ถึง 10 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
ตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน


ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการ ให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าอัตรา ดังต่อไปนี้

อายุงาน อัตราค่าชดเชยขั้นต่ำ*
ตั้งแต่ 120 วัน ถึง 1 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 3 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 6 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
ตั้งแต่ 6 ปี ถึง 10 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
ตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน

หมายเหตุ: อัตราเดียวกับการจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างทั่วไป

ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้ ให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าอัตรา ดังต่อไปนี้

ค่าชดเชยพิเศษกรณีนายจ้างปรับปรุงหน่วยงานโดยการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้ ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วัน ต่ออายุการทำงาน 1 ปี ทั้งนี้ ไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน โดยที่ หากมีอายุการทำงานไม่ครบ 1 ปี แต่มากกว่า 180 วัน ให้นับเป็นการทำงานครบ 1 ปี ตัวอย่าง เช่น

  • ลูกจ้างมีอายุการทำงาน 15 ปี 2 เดือน ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษในกรณีนี้ ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 225 วัน
  • ลูกจ้างมีอายุการทำงาน 15 ปี 9 เดือน ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษในกรณีนี้ ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
  • ลูกจ้างมีอายุการทำงาน 30 ปี ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษในกรณีนี้ ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน

ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า

นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าอัตรา ดังต่อไปนี้

ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เช่น

  • ค่าชดเชย ไม่น้อยกว่า ค่าจ้าง 1 คราว ในกรณีที่นายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา โดยไม่บอกกล่าวให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า
  • ค่าชดเชย ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน ในกรณีที่นายจ้างจะย้ายสถานประกอบกิจการ โดยไม่ปิดประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า
  • ค่าชดเชย ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน ในกรณีที่นายจ้างนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาใช้ โดยไม่แจ้งให้ลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างทราบล่วงหน้า

นอกจากเงื่อนไขและอัตราค่าชดเชยที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้ถูกต้องแล้ว ยังมีกระบวนการและวิธีการอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ให้นายจ้างต้องดำเนินการในแต่ละกรณีด้วย เช่น การบอกกล่าวลูกจ้างล่วงหน้าตามระยะเวลาที่สัญญาหรือกฎหมายกำหนด การประกาศแจ้งให้ลูกจ้างและ/หรือเจ้าพนักงานทราบล่วงหน้าตามแบบและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และกำหนดระยะเวลาการจ่ายค่าชดเชยในแต่ละกรณี หากนายจ้างไม่แน่ใจในกระบวนการเหล่านี้สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กระทรวงแรงงาน หรือปรึกษาทนายความ

ในกรณีใดบ้างที่นายจ้าง "ไม่ต้อง" จ่ายค่าชดเชย

นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง และลูกจ้างก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ในกรณี ดังต่อไปนี้

(1) สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา

นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ก็ต่อเมื่อ

(ก) สัญญาจ้างที่กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้สิ้นสุด โดยที่นายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาจ้างแรงงานเป็นหนังสือกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้ชัดเจนตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้างงาน

(ข) งานที่จ้างจะต้องมีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด ดังต่อไปนี้ เท่านั้น

    • การจ้างงานในโครงการเฉพาะที่ไม่ใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดงานสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน หรืองานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น และ
    • งานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี

ผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ได้จาก คู่มือทางกฎหมาย: สัญญาจ้างแบบมีกำหนดระยะเวลา ทำได้หรือไม่ และนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างบนเว็บไซต์ของเรา

(2) ลูกจ้างกระทำความผิด

นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง หากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากลูกจ้างกระทำความผิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

  • ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง (เช่น ขโมยของนายจ้าง ยักยอกทรัพย์นายจ้าง)
  • จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย (เช่น แกล้งทำให้สินค้าหรือกิจการของนายจ้างเสียหาย)
  • ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (เช่น ปฏิบัติงานโดยไม่ระมัดระวังทำให้ทรัพย์สินหรือสินค้าของนายจ้างเสียหายทั้งร้าน)
  • ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โดยที่หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด (เช่น เข้างานสายเป็นประจำ โดยได้รับการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วก็ยังไม่มีการแก้ไข)

นายจ้างอาจทำ หนังสือเตือนพนักงาน/ลูกจ้าง เพื่อเป็นบันทึกหลักฐานว่านายจ้างได้มีการตักเตือนลูกจ้างในการกระทำฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้าง อีกทั้งเพื่อให้ลูกจ้างทราบถึงปัญหาและใช้โอกาสดังกล่าวปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะมีการเลิกจ้าง

  • ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมกรณีที่ร้ายแรง (เช่น การใช้ตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจากบุคคลภายนอกเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของกิจการนายจ้าง)
  • ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เช่น ไม่มาทำงาน 3 วันทำงานติดกันโดยไม่มีเหตุผล)
  • ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกซึ่งไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (เช่น ได้รับคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีลักทรัพย์)
  • ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษซึ่งเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย (เช่น ได้รับคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน โดยที่การขัดขืนดังกล่าวทำให้กิจการของนายจ้างถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ)

นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้นายจ้างต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน (เช่น หนังสือเลิกจ้าง) หรือแจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้างด้วย นายจ้างจึงจะสามารถใช้เหตุดังกล่าวนั้นอ้างในภายหลังได้ (เช่น การอ้างในชั้นศาลหากลูกจ้างได้ดำเนินการฟ้องศาลเกี่ยวกับการเลิกจ้างดังกล่าว) ดังนั้น เพื่อเป็นหลักฐานในการเลิกจ้างและการไม่จ่ายค่าชดเชยโดยชอบธรรม นายจ้างควรทำหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างพร้อมระบุสาเหตุแห่งการเลิกจ้างให้แก่ลูกจ้างด้วย

หากนายจ้างละเว้นไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างหรือจ่ายไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขและ/หรืออัตราที่กฎหมายกำหนด นายจ้างอาจมีความรับผิด เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด (เช่น ร้อยละ 15 ต่อปี) หรือโทษทางอาญา (เช่น จำคุก ปรับ หรือทั้ง 2 อย่าง) หากนายจ้างไม่แน่ใจในกระบวนการเหล่านี้สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กระทรวงแรงงาน หรือปรึกษาทนายความ

แบบฟอร์มและตัวอย่างต่าง ๆ ที่สามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ Word และ PDF

ให้คะแนนคู่มือฉบับนี้
4.5 - ดีมาก